Hotline 083-411-9393
Friday , 22 November 2024
Home News รู้จักเทคโนโลยี DM-i Super Hybrid เทคโนโลยีอัจฉริยะเอกสิทธิ์เฉพาะจาก BYD ที่ทำให้ “รถปลั๊กอินไฮบริด” มอบประสบการณ์ขับขี่ได้เสมือนรถ EV
News

รู้จักเทคโนโลยี DM-i Super Hybrid เทคโนโลยีอัจฉริยะเอกสิทธิ์เฉพาะจาก BYD ที่ทำให้ “รถปลั๊กอินไฮบริด” มอบประสบการณ์ขับขี่ได้เสมือนรถ EV

ระยะหลังมานี้ผู้เล่นในตลาดยานยนต์ประเทศไทยนำเสนอรถยนต์หลากหลายประเภทเพื่อสร้างทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคกันมากขึ้น และหนึ่งในยนตรกรรมที่ยังคงได้รับความสนใจอยู่ไม่น้อยก็คือรถยนต์ประเภท PHEV (Plug-in Hybrid) หรือรถยนต์ที่ขับเคลื่อนโดยการผสานขุมพลังที่สร้างจากไฟฟ้าร่วมกับน้ำมันเชื้อเพลิงนั่นเอง โดย BYD ก็เป็นอีกแบรนด์หนึ่งที่ได้เผยโฉมรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่จะเข้าสู่ตลาดยานยนต์ไทยไปในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 ที่ผ่านมา นำร่องโดย BYD SEALION 6 DM-i เอสยูวีขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด 1.5 ลิตร ที่ใช้แพลตฟอร์ม DM-i เทคโนโลยีเอกสิทธิ์เฉพาะจาก BYD ที่ทำให้รถยนต์ PHEV มอบประสบการณ์ขับขี่ได้เสมือนรถยนต์ไฟฟ้า แต่ DM-i คืออะไร และมีความแตกต่างจากเทคโนโลยีไฮบริดอื่นๆ อย่างไร วันนี้เราจะพามาเจาะลึกถึงเทคโนโลยีสุดล้ำนี้ไปพร้อมกัน

DM–i Super Hybrid เทคโนโลยีขับเคลื่อนยานยนต์ที่ใช้ขุมพลังงานไฟฟ้าจากมอเตอร์เป็นหลัก

เทคโนโลยี DM-i Super Hybrid เป็นเทคโนโลยีระบบพลังงานและชุดควบคุมการทำงานของรถยนต์ประเภท PHEV เอกสิทธิ์เฉพาะของแบรนด์ BYD โดยอักษรย่อ “DM” หมายถึง “Dual Mode” หรือระบบการทำงานที่ประสานขุมพลัง 2 รูปแบบ คือมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ ส่วนอักษร “i” ย่อมาจากคำว่า “Intelligent” หรือเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ผสานการใช้เชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ ตอบสนองต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคอย่างลงตัว

สิ่งที่ทำให้เทคโนโลยี DM-i Super Hybrid โดดเด่นเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีอื่นๆ คือ เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาภายใต้การขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก (Electricity-based) โดยหลักการคือจะใช้ขุมกำลังขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่สามารถรองรับการสร้างพลังงานด้วยการชาร์จไฟทั้งในรูปแบบกระแสตรง DC และ การแสสลับ AC จากภายนอก ซึ่งหากยังไม่เพียงพอในการใช้งานในชีวิตประจำวัน การสร้างพลังงานจากเครื่องยนต์ก็จะเป็นส่วนเสริมในการสร้างพลังงานหลักเพื่อการขับเคลื่อนให้กับ “มอเตอร์ไฟฟ้า” และเมื่อต้องการสร้างพลังงานสูงสุดเพื่อการขับเคลื่อนอย่างเต็มประสิทธิภาพ “เครื่องยนต์” จะสร้างพลังงานเสริมการขับขี่ เช่น การเร่งความเร็วกะทันหัน การแซง การขึ้นเนินสูง การขับขี่ทางไกลที่ใช้ความเร็วคงที่  เป็นต้น

ดังนั้นส่วนสำคัญของเทคโนโลยี DM-i Super Hybrid คือ แพลตฟอร์มที่ให้ความสำคัญกับการใช้เชื้อเพลิงพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด และมากกว่านั้นก็ยังพัฒนาเพื่อให้รถยนต์มีการปล่อยมลภาวะให้น้อยที่สุด กล่าวคือ ทุกๆ มลภาวะที่ปล่อยออกมาจะต้องมีอย่างจำกัดและถูกปล่อยออกมาเพื่อการใช้งานมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยเปรียบเสมือนการขับเคลื่อนที่เสมือนรถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุด ซึ่งการขับเคลื่อนจะมีการส่งกำลังนิ่งเรียบและมอบประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มนวลและต่อเนื่องตลอดเส้นทาง

ขับขี่นุ่มนวล ห้องโดยสารไร้เสียงรบกวน เสมือนยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า 100%

เทคโนโลยี DM-i Super Hybrid ถือเป็นการพัฒนาภายใต้สถาปัตยกรรม DM พลังงานขับเคลื่อนเทคโนโลยีรูปแบบ Plug-In Hybrid เจนเนอเรชันที่ 4 ซึ่งทีมพัฒนาของ BYD เองนั้นสะสมประสบการณ์ในการวิจัยและพัฒนาต่อยอดตั้งแต่เจนเนอเรชันที่ 1 ถึง เจนเนอเรชันที่ 4 มาร่วม 15 ปี ซึ่งการพัฒนาเพื่อขีดจำกัดของประสิทธิภาพการขับเคลื่อนและเพื่อสอดคล้องกับการใช้รถพลังงานสะอาด เทคโนโลยี DM-i Super Hybrid ที่ปัจจุบันถูกใช้ใน BYD SEALION 6 DM-i หรือแม้กระทั่งรุ่นอื่นๆ ที่พัฒนาภายใต้สถาปัตยกรรม DM-i Super Hybrid นั้นจะขับเคลื่อนสภาวะขับเคลื่อน Hybrid รูปแบบต่างๆ ตามสถานการณ์ ดังนี้

1.EV Mode: โหมดการขับเคลื่อนโดยใช้ไฟฟ้า โดยเป็นการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเป็นหลัก ซึ่งมีการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่แรงดันสูง เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มนวลและไร้เสียงรบกวนเสมือนกับการขับยานยนต์ไฟฟ้า 100%

2.Series Mode: หรือโหมด HEV แบบอนุกรม เป็นโหมดการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่กำลังการขับเคลื่อนของมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกสร้างพลังงานจากเครื่องยนต์ที่มีการเดินเครื่องที่เรียบเนียนจึงทำให้การสร้างพลังงานไร้รอยต่อและสร้างสรรค์การขับเคลื่อนให้มีความนุ่มนวล และด้วยการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลักจึงทำให้การขับเคลื่อนนั้นเสมือนยนตกรรมไฟฟ้ามากที่สุด

3.Parallel Mode: หรือโหมด HEV แบบขนาน ซึ่งเป็นโหมดการขับเคลื่อนที่มอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ประสานการทำงานกันแบบเต็มกำลัง จึงส่งมอบประสิทธิภาพในด้านพละกำลังการขับขี่ที่ดีที่สุด มักจะถูกใช้ในช่วงที่ใช้กำลังขับเคลื่อนสูง เช่น การเร่งแซง การขึ้นเขา เป็นต้น

ทั้งนี้เพื่อการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและเสมือนกับการขับขี่ยนตกรรมไฟฟ้ามากที่สุด ทุกๆ การชะลอความเร็วและการเบรกนั้น ระบบ Regenerative Braking เก็บพลังงานจลน์ที่เกิดขึ้นสร้างพลังงานกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ เพื่อเพิ่มระยะทางการเดินทางด้วยไฟฟ้าให้มากยิ่งขึ้น รวมถึงปรับปรุงอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงให้ดีมากยิ่งขึ้นรวมถึงอัตราการปล่อยมลภาวะให้ลดน้อยลง และ เพื่อให้รถยนต์นั้นใกล้คำว่ารถยนตกรรมไฟฟ้ามากที่สุด ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ผู้ใช้งานได้สัมผัสถึงยนตรกรรมที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีอันล้ำสมัยที่จะช่วยให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารรวมถึงผู้คนสาธารณะได้รับทั้งเรื่องของความปลอดภัยในการใช้ถนนสาธารณะ และ มลภาวะสภาพแวดล้อมสาธารณะที่สะอาดมากยิ่งขึ้น

จุดเด่นของเทคโนโลยี DM-i Super Hybrid

ไฮไลต์ของเทคโนโลยี DM-i คือเป็นแพลตฟอร์มที่รวมเอานวัตกรรมเทคโนโลยีอัจฉริยะไว้ ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาเทคโนโลยีโดยใช้เครื่องยนต์ประสิทธิภาพเชิงความร้อนสูงซึ่งออกแบบเฉพาะสำหรับรถยนต์ระบบปลั๊กอินไฮบริด เทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงพร้อมด้วยเทคโนโลยี Blade Battery เสริมด้วยระบบระบายความร้อนแบตเตอรี่อัจฉริยะที่พัฒนาขึ้นสำหรับรถยนต์ไฮบริดโดยเฉพาะ ฟังก์ชันการถ่ายโอนพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น รวมถึงเทคโนโลยีอื่นๆ อีกมากมายที่มอบความสะดวกให้ผู้ขับขี่ใช้งานได้อย่างมั่นใจ เช่น ระบบ VtoL ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เทคโนโลยี DM-i Super Hybrid มีข้อได้เปรียบกว่าเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดอื่นๆ ในตลาดอยู่หลายประการ อาทิ

  • ประสิทธิภาพเชิงความร้อนของเครื่องยนต์ที่มากกว่า
  • ประสิทธิภาพการทำงานของระบบส่งกำลังไฮบริดที่มากกว่าเนื่องด้วยการพัฒนาเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังสำหรับเทคโนโลยี Plug-In Hybrid โดยเฉพาะ
  • เทคโนโลยี Blade Battery ซึ่งปลอดภัยกว่า ทั้งยังมีความจุที่มากและเพียงพอ เหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
  • เทคโนโลยี DM-i ทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพทั้งด้านพละกำลัง ความนิ่งเรียบของการส่งถ่ายกำลังของขับเคลื่อน และการใช้อัตราสิ้นเปลืองของพลังงานและเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การทำงานของ NVH (ระดับเสียง ความสั่นสะเทือน และความกระด้างของรถยนต์) ที่มีประสิทธิภาพ

พลังงานระบบไฮบริดที่ยังคงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ เสมือนรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100%

เทคโนโลยี DM-i ได้รับการพัฒนาให้ขับเคลื่อนด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก และด้วยขนาดของแบตเตอรี่ที่ออกแบบมาให้เพียงพอและเหมาะสมต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน ซึ่งหากเลือกขับรถด้วย EV Mode หรือโหมดการขับเคลื่อนโดยใช้ไฟฟ้า ในขณะที่แบตเตอรี่มีพลังงานคงเหลือปกติ ก็จะทำให้ขับขี่ได้โดยไม่สร้างมลพิษทางอากาศเลยแม้แต่น้อย เสมือนใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% เพราะ EV Mode จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นระบบขับเคลื่อนหลักโดยสมบูรณ์ และไม่มีการใช้ขุมพลังจากเครื่องยนต์เลย

หรือหากขับขี่ขณะที่แบตเตอรี่มีพลังงานคงเหลือต่ำ (Low SOC หรือแบตเตอรี่น้อยกว่า 25%) ระบบก็จะยังคงใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเป็นหลัก โดยใช้วิธีสร้างพลังงานจากเครื่องยนต์และส่งต่อมาที่มอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งช่วยทั้งในเรื่องของการลดปริมาณการปล่อยมลพิษได้อย่างชัดเจน และยังเป็นการใช้พลังงานเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพราะเมื่อระบบมีพลังงานไฟฟ้าที่เพียงพอต่อการขับเคลื่อนแล้ว เครื่องยนต์ก็จะหยุดทำงานแล้วเปลี่ยนกลับมาขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ได้พลังงานมาจากแบตเตอรี่คงเหลือแทน นอกจากนี้ แบตเตอรี่ยังได้รับการออกแบบให้มีขนาดที่เหมาะสมกับการใช้งาน ทำให้รถยนต์ไม่ต้องแบกภาระน้ำหนักรวมของตัวรถที่มากเกินความจำเป็น ซึ่งจะทำให้เกิดอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในการสร้างพลังงานขับเคลื่อนมากขึ้น

ทุกความชาญฉลาดของเทคโนโลยี DM-i Super Hybrid ที่กล่าวมาข้างต้น พร้อมให้สัมผัสประสบการณ์สุดล้ำเสมือนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแล้วในรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเผยโฉมในประเทศไทยอย่าง BYD SEALION 6 DM-i พร้อมเปิดจองสิทธิ์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมของ BYD SEALION 6 DM-i ในประเทศไทยได้ที่ Facebook BYD RÊVER Thailand

Recent Posts

Categories

Related Articles

เมอร์เซเดส-เบนซ์ พารถยนต์ไฟฟ้า EQS SUV ตะลุยเส้นทาง กรุงเทพฯ-เบตงเติมความมั่นใจทุกการขับขี่ เช็คอินจุดชาร์จทั่วภาคใต้!  

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย พาตะลุยเส้นทางกรุงเทพฯ-เบตง ทดสอบสมรรถนะการขับขี่ไปกับรถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่น EQS 450 4MATIC SUV AMG Dynamic...

นิสสัน เตรียมเปิดตัว “เซเรน่า” เติมสีสันในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป 2024 

นิสสัน ประกาศสร้างสีสันในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 (Motor Expo 2024) กับการเปิดตัวรถยนต์ “นิสสัน เซเรน่า ใหม่” รถยนต์อเนกประสงค์...

เตรียมพบกับ ‘ฟอร์ด เรนเจอร์ ซูเปอร์ ดิวตี้’ ในปี 2569

ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ประกาศความพร้อมเปิดตัวรถกระบะรุ่นใหม่ ‘ฟอร์ด เรนเจอร์ ซูเปอร์ ดิวตี้’ ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษเพื่อส่งมอบสมรรถนะการใช้งานที่เหนือระดับไปอีกขั้นสำหรับลูกค้าที่เกิดมาแกร่งอย่างแท้จริง โดยพร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศออสเตรเลีย ปี พ.ศ....

ย้อนตำนานต้นกำเนิดปิกอัพมาสด้าในประเทศไทยกว่า 74 ปี ยังคงสรรสร้างยนตรกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะไม่เหมือนใคร

การไหลผ่านของเวลาที่ล่วงเลยมาอย่างยาวนานของมาสด้า คือบทพิสูจน์บนเส้นทางแห่งความสำเร็จในการมุ่งมั่นพัฒนายานยนต์ไปพร้อมกับการสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า และความภาคภูมิใจแห่งยนตรกรรม ตลอดระยะเวลาอันยาวนานยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง ด้วยก้าวย่างที่มั่นคง แข็งแรง สร้างพื้นฐานไว้อย่างแน่นหนา จวบจนปัจจุบัน เป็นบทสรุปแห่งความสำเร็จกว่า 74 ปี ในประเทศไทย...